Office syndrome

เทคโนโลยีอัลตราซาวนด์กับนวัตกรรมสมัยใหม่เพื่อรักษาออฟฟิศซินโดรม

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากพฤติกรรมการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยไม่มีการปรับระดับโต๊ะและเก้าอี้ให้ถูกต้อง รวมถึงการขาดการเคลื่อนไหวระหว่างวัน ซึ่งอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ ปวดศีรษะเรื้อรัง อาการชาตามแขนขา และภาวะกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง

ปัจจุบัน ออฟฟิศซินโดรมเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งนาน ๆ รวมถึงผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานาน ซึ่งสถิติบ่งชี้ว่าอาการนี้เป็นภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชากรวัยทำงานจำนวนมาก และมีการใช้ชีวิตแบบนั่งทำงานในสำนักงานเป็นหลัก ส่งผลให้อัตราการเกิดออฟฟิศซินโดรมสูงขึ้นเรื่อย ๆ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข รายงานว่า 60% ของคนวัยทำงานในประเทศไทยมีภาวะออฟฟิศซินโดรม (แหล่งข้อมูล: กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข) สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจพบว่า ในองค์กรขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีพนักงาน 400 คน มีอัตราการเกิดออฟฟิศซินโดรมสูงถึง 60% ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มที่น่ากังวลในกลุ่มผู้ทำงานออฟฟิศ(แหล่งข้อมูล: สำนักงานสถิติแห่งชาติ) สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมือง รายงานว่า 56.37% ของประชากรที่ทำงานในสำนักงานมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดออฟฟิศซินโดรมในระดับสูง โดยพบว่าอาการที่พบบ่อยที่สุดคือ อาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง บริเวณคอ ไหล่ และหลัง(แหล่งข้อมูล: สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมือง) จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่เรื่องไกลตัวของพนักงานออฟฟิศในประเทศไทย และควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่า ในปี 2025 คาดว่าจะมีผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทำงานผิดวิธีเพิ่มขึ้นถึง 1.56 พันล้านคนทั่วโลก โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ พนักงานที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน เช่น นักบัญชี นักออกแบบกราฟิก และโปรแกรมเมอร์(แหล่งข้อมูล: WHO) สหรัฐอเมริกา รายงานว่า อาการปวดหลังเรื้อรัง ซึ่งเป็นอาการหลักของออฟฟิศซินโดรม ส่งผลกระทบต่อประชากรถึง 65 ล้านคนต่อปี และเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้พนักงานต้องลางาน (แหล่งข้อมูล: CDC (Centers for Disease Control and Prevention)) สหราชอาณาจักร พบว่า ในปี 2022 พนักงานจำนวน 470,000 คนต้องหยุดงานเนื่องจากปัญหากล้ามเนื้อและกระดูกจากการทำงานที่ผิดวิธี ซึ่งคิดเป็น 23% ของวันลางานทั้งหมดในประเทศ (แหล่งข้อมูล: Health and Safety Executive (HSE) UK) แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่ปัญหาเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นปัญหาสุขภาพระดับโลกที่ต้องได้รับความสนใจและแก้ไข

วิธีการรักษาแบบดั้งเดิม

  1. การยืดกล้ามเนื้อ การยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดการตึงตัวของกล้ามเนื้อ
  2. กายภาพบำบัด การใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การนวด การประคบร้อน หรือการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เพื่อบรรเทาอาการปวด
  3. การออกกำลังกาย การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่น

แม้ว่าวิธีการรักษาแบบดั้งเดิมจะช่วยบรรเทาอาการได้ แต่หากผู้ป่วยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานหรือสภาพแวดล้อมในการทำงาน อาการอาจกลับมาเป็นซ้ำได้ นอกจากนี้ การรักษาบางวิธีอาจต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอในการปฏิบัติ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ป่วยบางคน

ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีและวิธีการรักษาใหม่ ๆ มาใช้ในการบรรเทาอาการของโรคออฟฟิศซินโดรม เช่น

  1. การใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ (Ultrasound Therapy) ช่วยลดอาการปวดและอักเสบของเนื้อเยื่อ และช่วยคลายกล้ามเนื้อส่วนลึกที่หดเกร็ง
  2. การใช้คลื่นกระแทก (Shock Wave Therapy) ส่งคลื่นกระแทกไปยังเนื้อเยื่อที่ปวด เพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและลดอาการปวด
  3. การใช้คลื่นแม่เหล็ก (Peripheral Magnetic Stimulation) ใช้คลื่นแม่เหล็กกระตุ้นกล้ามเนื้อและเส้นประสาท เพื่อบรรเทาอาการปวดและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด (แหล่งข้อมูล: https://www.vimut.com/article/Office-Syndrome-Treatment?utm_source=)

 

Advanced Numerical Modeling of Ultrasound Therapy for

Muscle Pain and Office Syndrome: Exploring Frequency Optimization

หลักการทำงานของอัลตราซาวนด์ในการรักษาออฟฟิศซินโดรม

คลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ใช้พลังงานเสียงในการกระตุ้นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดความร้อนและช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดอาการปวด และกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ กลไกนี้ทำให้การรักษาด้วยอัลตราซาวนด์เป็นวิธีมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับอาการปวดเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับออฟฟิศซินโดรม

การจำลองเชิงตัวเลขเพื่อป้องกันอุณหภูมิเกินขีดความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา

ในการศึกษานี้ได้พัฒนาแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์โดยใช้ซอฟต์แวร์ COMSOL Multiphysics เพื่อจำลองการแพร่กระจายของคลื่นอัลตราซาวนด์และผลกระทบของความร้อนที่เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ โดยแบบจำลองนี้คำนึงถึงสมการ Helmholtz Wave Equation และ Pennes’ Bioheat Transfer Equation เพื่อวิเคราะห์การกระจายพลังงานและอุณหภูมิในกล้ามเนื้อ การพัฒนาแบบจำลองเชิงตัวเลขช่วยให้สามารถปรับปรุงการรักษาโดยไม่ต้องพึ่งพาการทดลองกับมนุษย์ในระยะแรก ซึ่งส่งผลดีต่อการป้องกันและพัฒนาวิธีการรักษาอาการปวดเรื้อรังและออฟฟิศซินโดรมในอนาคต

ผลการจำลองพบว่า อัลตราซาวนด์ที่ความถี่ 1.0 MHz สามารถแทรกซึมเข้าไปยังเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อส่วนลึกได้ดี ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นถึง 40°C ภายใน 20 วินาที และลดลงช้าเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งเหมาะสำหรับรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณหลังส่วนล่าง อัลตราซาวนด์ที่ความถี่ 1.5 MHz เน้นการกระจายความร้อนในชั้นตื้นมากกว่า โดยอุณหภูมิสูงสุดที่วัดได้อยู่ที่ 37°C และลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเหมาะสำหรับการรักษาอาการปวดบริเวณไหล่ คอ และหลังส่วนบน

ข้อดีของการรักษาด้วยอัลตราซาวนด์

  1. ปลอดภัยและไม่ใช้ยา ช่วยลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของยาแก้ปวดและการผ่าตัด
  2. เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดอาการอักเสบ และเร่งกระบวนการฟื้นฟู
  3. ปรับแต่งได้ตามอาการ ความถี่ที่แตกต่างกันสามารถนำไปใช้กับกล้ามเนื้อในระดับความลึกที่แตกต่างกัน

จุดเด่นของวิธีการที่นำเสนอในงานวิจัย

  1. การใช้ Numerical Simulation เพื่อเพิ่มความแม่นยำ โดยใช้ COMSOL Multiphysics ในการจำลองผลกระทบของคลื่นอัลตราซาวด์ต่อกล้ามเนื้อ ทำให้สามารถ ปรับแต่งพารามิเตอร์ (เช่น ความถี่ และระยะเวลา) ได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องทดลองกับมนุษย์หรือสัตว์ ลดต้นทุนและลดความเสี่ยงของการทดลองทางคลินิก
  2. การศึกษาผลของคลื่นอัลตราซาวด์ที่ความถี่แตกต่างกัน งานวิจัยนี้เปรียบเทียบ 1.0 MHz และ 1.5 MHz พบว่า 1.0 MHz สามารถเจาะลึกไปยังกล้ามเนื้อชั้นลึก เหมาะสำหรับการรักษาอาการปวดเรื้อรัง เช่น อาการปวดหลังจากการนั่งทำงานเป็นเวลานาน 1.5 MHz มีพลังงานกระจายที่ตื้นกว่า เหมาะสำหรับอาการปวดในบริเวณที่ตื้น เช่น คอ ไหล่ และหลังส่วนบนทำให้สามารถ ปรับแต่งการรักษาให้เหมาะกับตำแหน่งของอาการปวดในผู้ป่วย
  3. ความเป็น Non-invasive และ Drug-free Therapy การใช้คลื่นอัลตราซาวด์ช่วยบรรเทาอาการปวดโดยไม่ต้องใช้ยา ลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของยาแก้ปวด ลดความจำเป็นในการพึ่งพาการผ่าตัด ทำให้เป็น ตัวเลือกที่ปลอดภัยและมีผลข้างเคียงต่ำ
  4. การวิเคราะห์เชิงความร้อน และกลไกการบำบัดเชิงลึก ใช้ Helmholtz Wave Equation และ Bioheat Transfer Equation เพื่อคำนวณว่าคลื่นอัลตราซาวด์ทำให้เกิดความร้อนสะสมในเนื้อเยื่อได้อย่างไร พบว่า 1.0 MHz ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นถึง 40.09°C ใน 20 วินาที ขณะที่ 1.5 MHz ทำให้อุณหภูมิสูงสุดที่ 37.02°C ซึ่งหมายความว่า สามารถเลือกใช้ความถี่ที่เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วยได้
  5. ลดการพึ่งพาการทดลองในมนุษย์และสัตว์ ใช้การจำลองทางคอมพิวเตอร์เพื่อศึกษาผลกระทบของคลื่นอัลตราซาวด์ โดยไม่ต้องทดลองกับมนุษย์หรือสัตว์ ทำให้เป็นวิธีการที่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีจริยธรรมมากขึ้น

ข้อจำกัดของการรักษาด้วยอัลตราซาวด์

  1. ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับพารามิเตอร์ของการรักษา การเลือก ความถี่ที่เหมาะสม เป็นปัจจัยสำคัญ เช่น ถ้าเลือกความถี่ผิดอาจทำให้การรักษาไม่ได้ผลเต็มที่ หรือไม่สามารถเข้าถึงบริเวณกล้ามเนื้อที่เป็นปัญหาได้ต้องมีการ ปรับแต่งค่าพลังงานและระยะเวลาตามอาการของผู้ป่วยแต่ละคน
  2. ต้องมีการควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำ ถ้าอุณหภูมิสูงเกินไป (>42°C) อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อ
  3. ข้อจำกัดในการแพร่กระจายของพลังงานอัลตราซาวด์ พลังงานคลื่นอัลตราซาวด์จะลดลงเมื่อผ่านเนื้อเยื่อที่หนาแน่นกว่าทำให้การรักษาบางพื้นที่อาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร ผู้ป่วยที่มีชั้นไขมันหนาอาจไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีเท่ากับผู้ที่มีมวลกล้ามเนื้อมากกว่า
  4. ต้องอาศัยเครื่องมือที่มีความแม่นยำและเทคนิคเฉพาะทาง อุปกรณ์อัลตราซาวด์ที่ใช้ต้องมีคุณภาพสูง และต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการตั้งค่าพารามิเตอร์การรักษา หากใช้ผิดวิธีอาจทำให้เกิด ภาวะร้อนเกิน (overheating) หรือกระจายพลังงานไม่เหมาะสม

รูปที่ 1 รูปแบบจำลองที่ใช้ในงานวิจัยนี้

(a) รูปทรงเรขาคณิตกลับด้านและสมการพื้นฐานสำหรับการจำลองการกระจายความร้อนในเนื้อเยื่อชีวภาพ

(b) แบบจำลองรูปทรงเรขาคณิตกลับด้านที่แสดงเงื่อนไขขอบเขตที่กำหนด

(c) แบบจำลองรูปทรงเรขาคณิตกลับด้านที่แสดงขนาดและจำนวนขององค์ประกอบที่ใช้ในการจำลองด้วยซอฟต์แวร์ COMSOL Multiphysics

รูปที่ 2 การกระจายอุณหภูมิ (°C) สำหรับอัลตราซาวนด์ที่ความถี่ 1.0 MHz

ในช่วงเวลาที่ 0, 20, 40, 60, 80 และ 100 วินาที

รูปที่ 3 การกระจายอุณหภูมิ (°C) สำหรับอัลตราซาวนด์ที่ความถี่ 1.5 MHz

ในช่วงเวลาที่ 0, 20, 40, 60, 80 และ 100 วินาที

 

แหล่งอ้างอิง

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

สำนักงานสถิติแห่งชาติ

องค์การอนามัยโลก (WHO)

Centers for Disease Control and Prevention (CDC)

Health and Safety Executive (HSE) UK